วันจันทร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2556

คำตอบอนุทินที่ 3

คำตอบอนุทินที่ 3

1. นักศึกษาอธิบายคานิยามต่อไปนี้ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542
ตอบ
           ก.การศึกษา  คือ กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม  การฝึกการอบรมการสืบสานทางวัฒนธรรมการสร้างสรรค์ทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้โดยการจัดสภาพแวดล้อมสังคมให้เอื้อต่อการเรียนรู้ เป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอดชีวิต
           ข.การศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ การศึกษาก่อนระดับอุดมศึกษา เป็นการศึกษาภาคบังคับ
           ค. การศึกษาตลอดชีวิต   คือ  การศึกษาที่สามารถพัฒนาคุณภาพชีวิตได้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิตโดยเกิดจากการผสมผสานระหว่างการศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบการศึกษาตามอัธยาศัย
           ง. มาตรฐานการศึกษา คือ ข้อกำหนดเกี่ยวกับคุณลักษณะคุณภาพที่พึงประสงค์และมาตรฐานที่ต้องการให้เกิดขึ้นในสถานศึกษาทุกแห่งและเพื่อใช้เป็นหลักในการเทียบเคียงสาหรับส่งเสริมและกากับดูแลการตรวจสอบการประเมินและการประกันคุณภาพทางการศึกษา
           จ. การประกันคุณภาพภายใน คือ การประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจากภายในโดยบุคลากรของสถานศึกษา
           ช. การประกันคุณภาพภายนอก คือ การประเมินผลและการติดตามตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาจากภายนอกโดยสานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา
           ซ. ผู้สอน  คือครูและคณาจารย์ในสถานศึกษาระดับต่างๆ
           ฌ. ครู คือ บุคลากรวิชาชีพซึ่งทาหน้าที่หลักทางด้านการเรียนการสอนและการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่างๆในสถานศึกษาทั้งของรัฐและเอกชน
           ญ. คณาจารย์ คือ บุคลากรซึ่งทาหน้าที่หลักทางด้านการสอนและการวิจัยในสถานศึกษาระดับอุดมศึกษาและระดับปริญญาของรัฐและเอกชน
           ฐ. ผู้บริหารสถานศึกษา คือ บุคลากรวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหารสถานศึกษาแต่ละแห่งทั้งของรัฐและเอกชน
            ฒ. ผู้บริหารการศึกษา คือ บุคลากรวิชาชีพที่รับผิดชอบการบริหารการศึกษานอกสถานศึกษาตั้งแต่ระดับเขตพื้นที่การศึกษาขึ้นไป
            ณ. บุคลากรทางการศึกษา คือ ผู้บริหารสถานศึกษาผู้บริหารสถานศึกษารวมทั้งผู้สนับสนุนการศึกษาซึ่งเป็นผู้ทาหน้าที่ให้บริการหรือปฏิบัติงานเกี่ยวเนื่องกับการจัดกระบวนการเรียนการสอนการนิเทศ


2. ความมุ่งหมายและหลักการจัดการศึกษาได้กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษานี้อย่างไรบ้างให้อธิบาย        
   ตอบ   ความมุ่งหมายของการจัดการศึกษา เป็นการจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกายจิตใจสติปัญญาความรู้และคุณธรรมมีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข

3. หลักการจัดการศึกษาประกอบด้วยอะไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ   1) เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสาหรับประชาชน
           2) ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
           3) การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปอย่างต่อเนื่อง

4. การจัดระบบโครงสร้างและกระบวนการจัดการศึกษาตามที่กฎหมายกำหนดมีอะไรบ้าง
ตอบ     1) มีเอกภาพด้านนโยบายและมีความหลากหลายในการปฏิบัติ
            2) มีการกระจายอำนาจไปสู่เขตพื้นที่การศึกษาสถานศึกษาและองค์กรปกครอง
ส่วนท้องถิ่น
           3) มีการกำหนดมาตรฐานการศึกษาและจัดระบบประกันคุณภาพการศึกษาทุกระดับและประเภทการศึกษา
           4) มีหลักการส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพครูคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาและการพัฒนาครูคณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง
            5) ระดมทรัพยากรจากแหล่งต่างๆมาใช้ในการจัดการศึกษา
            6) การมีส่วนร่วมของบุคคลครอบครัวชุมชนองค์กรชุมชนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเอกชนองค์กรเอกชนองค์กรวิชาชีพสถาบันศาสนาสถานประกอบการและสถาบันสังคมอื่น

5. สิทธิและหน้าที่ทางการศึกษาที่กำหนดไว้ในกฎหมายมีอะไรบ้าง
ตอบ     1. การจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่า 12 ปีอย่างทั่วถึง มีคุณภาพ และไม่เก็บค่าใช้จ่าย
             2. บุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกายจิตใจสติปัญญาอารมณ์สังคมผู้ด้อยโอกาสและผู้มีความสามารถพิเศษมีสิทธิได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ
            3. พ่อแม่ผู้ปกครองบุคคลครอบครัวองค์กรชุมชนองค์กรเอกชนสถานประกอบการสถาบันศาสนาและสถาบันอื่นๆมีสิทธิจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานให้แก่บุตรหลานของตน ได้รับการสนับสนุนและเงินอุดหนุนจากรัฐรวมทั้งได้รับการลดหย่อนภาษีหรือยกเว้นภาษีตามที่กฎหมายกำหนด

6. ระบบการศึกษามีกี่รูปแบบแต่ละรูปแบบมีอะไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ    มี 3 รูปแบบ
                 1. การศึกษาในระบบ
                 2. การศึกษานอกระบบ
                 3. การศึกษาตามอัธยาศัยสถานศึกษา

7. การจัดการศึกษาในระบบมีอะไรบ้างจงอธิบาย
ตอบ    การศึกษาในระบบ  เป็นการศึกษาที่กำหนดจุดมุ่งหมาย  วิธีการศึกษา หลักสูตร  ระยะเวลา
ของการศึกษา  การวัดและการประเมินผล  ซึ่งเป็นเงื่อนไขของการสำเร็จการศึกษาที่แน่นอน

8. สถานศึกษาที่เป็นนิติบุคคลเป็นอย่างไร
ตอบ  ระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการนับเป็นการปฏิรุปการศึกษาครั้งสำคัญของประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มีคุณภาพ โดยได้บัญญัติให้มีกระจายอำนาจการบริหารจัดการศึกษาทั้งด้านวิชาการ งบประมาณสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษาโดยตรง การจัดองค์กรที่มีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายมหาชนที่จัดบริการสาธารณะย่อมจะมีอิสระในการบริหารทั้งด้านทรัพยากรบุคคล และอำนาจหน้าที่ในกรอบที่กฎหมายให้อำนาจไว้

9. แนวทางการจัดการศึกษามีหลักยึดอะไรบ้าง
ตอบ      1. ยึดหลักว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ให้ถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุดและต้องให้แต่ละคนสามารถพัฒนาตามความถนัดความสนใจและเต็มศักยภาพของเขา
             2. เนื้อหาสาระของการศึกษาทุกระบบทุกรูปแบบต้องเน้นความรู้คู่คุณธรรมและกระบวนการเรียนรู้โดยบูรณาการ (ผสมผสาน) ตามความเหมาะสมของระดับการศึกษา
            3. เนื้อหาสาระของวิชาความรู้ที่ต้องไปกำหนดหลักสูตรและจัดการเรียนรู้ประกอบด้วยเรื่องต่างๆต่อไปนี้

10. ท่านเห็นด้วยหรือไม่ที่กำหนดให้ครูผู้บริหารสถานศึกษาผู้บริหารการศึกษาทั้งรัฐและเอกชนจะต้องมีใบประกอบวิชาชีพ
ตอบ เห็นด้วย เพราะการมีใบประกอบวิชาชีพเป็นการแสดงตนว่ามีความรู้ในการเป็นครูผู้บริหารสถานศึกษาที่สมบูรณ์แบบ



11. มีวิธีการระดมทรัพยากรเพื่อพัฒนาการศึกษาในท้องถิ่นของท่านได้อย่างบ้าง
ตอบ  มีการศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับท้องถิ่น โดยเริ่มจากวางแผนการศึกษาวิธีการระดมทรัพยากรธรรมชาติเพื่อพัฒนาการศึกษา  กำหนดวัตถุประสงค์ให้ชัดเจน และดำเนินการพัฒนาการการศึกษาในท้องถิ่น ประเมินและติดตามผลการศึกษา

12. การพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษามีวิธีการพัฒนาได้อย่างไร
ตอบ  มีวิธีการในการพัฒนาสื่อให้เหมาะสมกับการศึกษา
            1. สื่อควรมีควรดึงดูดให้เด็กสนใจอยากเรียนรู้
            2. สื่อต้องมีหลากหลายชนิด
            3. ควรเป็นสื่อที่แปลกใหม่และทันสมัยกับยุคสมัย

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

คำตอบอนุทินที่ 2

1.ใครเป็นผู้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรก และมีเหตุผลอย่างไร และประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา เป็นอย่างไร อธิบาย
ตอบ  ผู้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับแรก คือ นายปรีดี พนมยงค์   เหตุผล คือ ต้องการให้คนในประเทศเป็นอยู่มีระบบ และต้องการให้มีการจัดการศึกษา    ประเด็นเกี่ยวกับการศึกษา คือ ให้สิทธิเสรีภาพกับทุกคนในการศึกษา 

2.แนวนโยบายแห่งรัฐในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของรัฐธรรมนูญฯพุทธศักราช  2492ได้กำหนดอย่างไร อธิบาย
ตอบ    เมื่อปีพุทธศักราชที่ 2492 ได้กำหนดเกี่ยวกับการศึกษาดังนี้  คือได้กำหนดเสรีภาพให้กับประชาชนเกี่ยวกับการศึกษา โดยไม่มีการบังคับไดๆ หรือเมื่อปีศักราช 2492 ไม่ได้ตระหนักเกี่ยวกับการศึกษามากมายเพราะจะมอบอำนาจและสิทธิให้ประชาชนโดยไม่บังคับให้ศึกษา

3.   เปรียบเทียบแนวนโยบายแห่งรัฐประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของรัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2511 พุทธศักราช 2517 และ พุทธศักราช 2521 เหมือนหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย
ตอบ    การศึกษาเมื่อปีพุทธศักราช   2511 2517 2521  มีความแตกต่างกัน  คือ
 พุทธศักราช 2511  เกี่ยวกับการศึกษาคือ บุคคลย่อมมีเสรีภาพสมบูรณ์เกี่ยวกับการศึกษา เมื่อการศึกษาอบรมนั่นไม่เป็นปรปักษ์ต่อหน้าที่ของพลเมืองตามกฎหมายว่าด้วยการศึกษาอบรม และไม่ขัดต่อกฎหมายเกี่ยวกับการจัดสรรสถานศึกษา
                พุทธศักราช 2517  การศึกษาเริ่มเปลี่ยนไปเพราะทุกคนย่อมมีสิทธิเสรีชนในการศึกษาเท่าเทียบเสมอกันในการศึกษาขั้นมูลฐาน ตามกฎหมายว่าด้วยการบังคับ บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการศึกษาอบรม เมื่อไม่ขัดต่อหน้าที่ของพลเมืองตามรัฐธรรมนูญ และไม่ขัดต่อกฎหมายว่าด้วยการศึกษาภาคบังคับ 
                พุทธศักราช 2521 การศึกษาเริ่มมีการส่งเสริมบำรุงการศึกษาการอบรมและฝึกอบรมตามความเหมาะสมและความต้องการของประเทศ การจัดการศึกษาอบรมเป็นหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะสถานศึกษาทั้งปวงย่อมอยู่ภาคใต้การควบคุมดูแลของรัฐ ช่วยเหลือผู้ยากไร้ให้ได้รับทุน

4.ประเด็นที่ 1 รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2475-2490 ประเด็นที่ 2 รัฐธรรมนูญฯพุทธศักราช 2549-2517 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย

ตอบ การศึกษาเมื่อปีพุทธศักราช 2475-2490 และ พุทธศักราช 2549-2517 มีความแตกต่างกัน คือ

           พุทธศักราช 2475-2490 คือ การศึกษาขึ้นอยู่กับสิทธิเสรีภาพของประชาชนโดยมีการควบคุมการศึกษาโดยหน่วยงานต่างๆ แต่ก็จำเป็นต้องศึกษา

         พุทธศักราช 2549-2517 คือ การศึกษาเริ่มเป็นระบบมากขึ้น มีหน่วยงานของรัฐบาลให้ความช่วยเหลือในการศึกษาทั้งในเรื่องของ ทุนการศึกษา และมีการบังคับให้ศึกษาตามระบบมีกฎหมายเกี่ยวกับการศึกษาที่แน่นอน และมีบทลงโทษสำหรับบุคคลที่ไม่สนใจในการศึกษา


5. ประเด็นที่ 3 รัฐธรรมนูญฯ พุทธศักราช 2521-2534 ประเด็นที่ 4 รัฐธรรมนูญฯพุทธศักราช 2540-2550 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาเหมือนหรือต่างกันอย่างไร อธิบาย
                ตอบ การศึกษาเมื่อปีพุทธศักราช 2521-2534 และ พุทธศักราช 2540-2550 มีความแตกต่างกัน คือ
 พุทธศักราช 2521-2534 คือ รัฐพึงส่งเสริมการศึกษาและบำรุงการศึกษาอบรม  การจัดระบบการศึกษาอบรมเป็นหน้าที่ของรัฐโดยเฉพาะสถานศึกษาทั้งปวงย่อมอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของรัฐ แต่ในปี
พุทธศักราช 2540-2550 คือ การศึกษาหรือบุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาไม่น้อยกว่า 12 ปี ที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ  ที่แตกต่างกันก็คือ เมื่อปีพุทธศักราช 2521-2534 การศึกษาไม่บังคับ แต่เมื่อพุทธศักราช 2540-2550 การศึกษามีการบังคับการศึกษา

6.เหตุใดรัฐธรรมนูญแต่ละฉบับจะต้องระบุในประเด็นที่รัฐจะต้องจัดการศึกษาอย่างเป็นธรรมและทั่วถึง อธิบาย

ตอบ รัฐธรรมนูญต้องระบุในประเด็นการศึกษาอย่างเป็นธรรมและทั่วถึงก็เพราะรัฐธรรมนูญต้องการให้การศึกษาของไทยเป็นไปอย่างมีระบบ และต้องการให้มีการศึกษาที่สอดคล้องกันและมีการบังคับการศึกษาที่แน่นอนเพื่อให้หน่วยงานของรัฐรับผิดชอบในด้านต่างๆเกี่ยวกับการศึกษา


7.เหตุใดรัฐจึงต้องกำหนด บุคคลมีหน้าที่รับการศึกษาอบรมตามเงื่อนไขและวิธีการที่กฎหมายบัญญัติจงอธิบาย หากไม่ปฏิบัติจะเกิดอะไรขึ้น
                ตอบ เหตุผลที่รัฐบาลต้องกำหนด บุคคลให้มีการศึกษา ก็เพราะ ต้องการให้คนมีการศึกษาติดตัวไป และต้องการให้มีความรู้เพื่อที่จะประกอบอาชีพและการทำงาน
                รัฐไม่กำหนดบุคคลให้มีการศึกษา ปัญหาที่จะเกิดขึ้นก็คือ ทำให้การศึกษาไทยตกต่ำและมีปัญหาในการทำงานหรือหน่วยงานต่างๆไม่ยอมรับบุคคลที่ขาดความรู้เข้าทำงานในสถานที่ต่างๆหรือพูดเป็นภาษาบ้านๆว่าทำให้คนโง่  
                                                                                                 

8.การจัดการศึกษาที่เปิดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาหากเราพิจารณารัฐธรรมนูญมีฉบับใดบ้างที่ให้องค์กรส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วม และถ้าเปิดโอกาสให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมมากขึ้นท่านคิดว่าเป็นอย่างไร จงอธิบาย

            ตอบ รัฐธรรมนูญเกือบทุกฉบับที่สนับสนุนให้ท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา และหากเปิดโอกาสให้องค์กรส่วนท้องถิ่นมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา คิดการศึกษาก็จะมีประสิทธิภาพมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่เพราะองค์กรส่วนท้องถิ่นสามารถตีโจทย์ความต้องการของประชาชนหรือความต้องการของลูกหลานได้ว่าต้องการศึกษาในรูปแบบใด 


9. เหตุใดการจัดการศึกษา รัฐต้องคุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชน ส่งเสริมความเสมอภาคทั้งหญิงและชาย พัฒนาความเป็นปึกแผ่นของครอบครัว และความเข็มแข็งของชุมชน สังเคราะห์ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพและผู้ด้อยโอกาส จงอธิบาย
     
     ตอบ   สาเหตุที่รัฐจะต้องจัดการศึกษาให้คุ้มครองและพัฒนาเด็กและเยาวชน ส่งเสริมการศึกษาให้เท่าเทียบกันก็เพราะว่า รัฐต้องการเห็นคนทุกประเภทมีความรู้ความสามารถในทุกระดับโดยไม่ตั้งข้อแบ่งแยกกับทุกคนที่ขาดทุนในการศึกษา และประเด็นที่สำหรับที่รัฐต้องทำเพราะรัฐต้องการให้การศึกษาของไทยและคนไทยมีความรู้ ความสามัคคีกัน

10. ผลการจัดการศึกษาที่ผ่านมาของรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีผลต่อการพัฒนาประเทศอย่างไรบ้างจงอธิบาย
        ตอบในด้านการศึกษา
1. นโยบายเรียนฟรี 15 ปี
                2. ค่าใช้จ่ายในการซื้ออุปกรณ์การเรียน
                3.  การมอบทุนการศึกษา
                4. การให้การศึกษาแก่ผู้พิการ
  รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีผลต่อการพัฒนาประเทศ ทำให้ประเทศเป็นระบบระเบียบและมีกฎหมายเอาผิดสำหรับบุคคลที่ทำผิดกฎหมาย จึงทำให้ประเทศมีความมั่นคงทางการศึกษาที่เน้นให้คนในประเทศมีการศึกษาที่แน่นอน  และมีการบังคับให้การศึกษาอยู่ในระดับใด  การพัฒนาประเทศจะเริ่มต้นได้จาก ผู้ปกครองประเทศร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ  
    

วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556

คำตอบอนุทินที่ 1 ค่ะ

1.ท่านคิดว่าทำไมมนุษย์เราต้องมีกฎหมายหากไม่มีจะเป็นอย่างไร             

           ตอบ หากไม่มีกฎหมายบ้านเมืองก็จะร้อนเป็นลุกไฟ หากไม่มีกฎหมายที่ชัดเจนเป็นข้อบังคับให้คนปฏิบัติตามกฎหมาย จะไม่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง มีการทะเลาะวิวาท ทำร้ายร่างกาย สาเหตุมาจากความไม่พึงพอใจ มีการแก่งแย่ง การแก้แค้นซึ่งกันและกัน กฎหมายจึงจำเป็นต้องมีข้อบังคับใช้ที่ชัดเจนเพื่อมิให้คนกระทำความผิดและมีการลงโทษผู้กระทำความผิดเพื่อให้คนเปลี่ยนแปลงตนเองให้เป็นคนดี

2.ท่านคิดว่าสังคมปัจจุบันจะอยู่ได้หรือไม่หากไม่มีกฎหมายและจะเป็นอย่างไร

          ตอบ อยู่ไม่ได้หากไม่มีกฎหมายบ้านเมืองจะมีความไม่สงบสุข มีแต่เรื่องเดือดร้อน ไม่รู้จักจบจักสิ้นเราต้องมีกฎกติกาให้กับตัวเองและกฎกติกาในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ซึ่งกฎหมายจะช่วยให้คนมีระเบียบ เคารพกฎกติกาของบ้านเมืองในการอยู่ร่วมกัน ไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่นๆ

3.ท่านมีความรู้ความเข้าเกี่ยวกับกฎหมายในประเด็นต่อไปนี้               

          ตอบ . ความหมาย คาสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาธิปไตย์ จากคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดของรัฐ เป็นข้อบังคับใช้กับคนทุกคนที่อยู่ในรัฐหรือประเทศนั้น ๆ จะต้องปฏิบัติตามและมีสภาพบังคับที่มีการกำหนดบทลงโทษ 

   ข. ลักษณะหรือองค์ประกอบของกฎหมาย                                                                                                             1. เป็นคาสั่งหรือข้อบังคับที่เกิดจากรัฎฐาธิปไตย์ที่องค์กรหรือคณะบุคคลที่มีอำนาจสูงสุดอาทิ รัฐสภาฝ่ายนิติบัญญัติ หัวหน้าคณะปฏิวัติ กษัตริย์ในระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สามารถใช้อำนาจบัญญัติกฎหมายได้ เช่น รัฐสภา ตราพระราชบัญญัติ                                                                                                 2. มีลักษณะเป็นคาสั่งข้อบังคับ อันมิใช่คาวิงวอน ประกาศ หรือแถลงการณ์ อาทิ ประกาศของกระทรวงศึกษาธิการ คาแถลงการณ์ของคณะสงฆ์ ให้ถือเป็นแนวปฏิบัติมิใช่กฎหมาย สาหรับคาสั่งข้อบังคับที่เป็นกฎหมาย เช่น พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.. 2542                                                                  3. ใช้บังคับกับคนทุกคนในรัฐอย่างเสมอภาค เพื่อให้ทุกคนเกรงกลัวและถือปฏิบัติสังคมจะสงบสุขได้ เช่น กฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ ใช้บังคับกับผู้ที่มีเงินได้ แต่ไม่บังคับเด็กที่ยังไม่มีเงิน                              4. มีสภาพบังคับ ซึ่งบุคคลจะต้องปฏิบัติตามกฎหมายโดยเฉพาะการกระทาและการงดเว้นการกระทาตามกฎหมายนั้น ๆ กำหนด หากฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามฝ่าฝืนอาจถูกลงโทษหรือไม่ก็ได้ และสภาพบังคับในทางอาญาคือ โทษที่บุคคลผู้ที่กระทาผิดจะต้องได้รับโทษ เช่น รอลงอาญา ปรับจาคุก กักขัง ริมทรัพย์                                                                                                                                                           ค. ที่มาของกฎหมาย                                                                                                                                            1. บทบัญญัติแห่งกฎหมาย เป็นกฎหมายลักษณ์อักษร เช่น กฎหมายประมวลรัษฎากร รัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติ เทศบัญญัติ ซึงกฎหมายดังกล่าว ผู้มีอำนาจแห่งรัฐหรือผู้ปกครองประเทศเป็นผู้ออกกฎหมาย                                                                                                                                                      2. จารีตประเพณี เป็นแบบอย่างที่ประชาชนนิยมปฏิบัติตามกันมานาน หากนาไปบัญญัติเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรแล้วย่อมมีสภาพไปเป็นกฎหมาย เช่น การชกมวยเป็นกีฬา หากชนตามกติกา                    3. ศาสนา เป็นข้อห้ามและข้อปฏิบัติที่ดีของทุก ๆ ศาสนาสอนให้เป็นคนดี เช่น ห้ามลักทรัพย์ ห้ามผิดลูกเมีย ห้ามทาร้ายผู้อื่น กฎหมายจึงได้บัญญัติตามหลักศาสนาและมีการลงโทษ                                          4. ความเห็นของนักนิติศาสตร์ เป็นการแสดงความคิดเห็นของว่าสมควรที่จะออกกฎหมายอย่างนั้น สมควรหรือไม่                                                                                                                                      . ประเภทของกฎหมาย                                                                                                                                        ก. กฎหมายภายใน                                                                                                                                      ข. กฎหมายภายนอก


4.ท่านมีความคิดเห็นอย่างไร ว่า ทำไมทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมาย จงอธิบาย                                              

      ตอบ ทุกประเทศจำเป็นต้องมีกฎหมายบ้านกฎหมายเมือง เพื่อเป็นการสร้างกฎระเบียบให้ประชาชนมีระเบียบวินัยการในการอยู่ร่วมกัน มีความประพฤติดีไม่ทำผิดกฎหมาย หากทำผิดกฎหมายก็ต้องมีข้อบังคับในการลงโทษ ถ้าไม่มีกฎหมายบ้านเมืองจะอยู่ไม่เป็นสุขมีแต่ความเดือดร้อนไม่มีวันจบวันสิ้นมีแต่ปัญหาและไม่มีความสงบสุข

5. สภาพบังคับในทางกฎหมายท่านมีความเข้าใจอย่างไร จงอธิบาย        

       ตอบ สภาพบังคับในทางกฎหมายเป็นหลักของกฎหมายอาญา และกฎหมายแพ่ง 1. กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 วรรคแรก บัญญัติโทษทางอาญา เช่น การประหารชีวิต จาคุก กักขัง ปรับ หรือริบทรัพย์สิน สภาพบังคับทางอาญาจึงเป็นโทษอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ใช้ลงโทษกับผู้กระทาผิดทางอาญา    2. กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง ได้บัญญัติถึงสภาพบังคับลักษณะต่าง ๆ กันไว้สำหรับลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่กระทำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เช่น การกำหนดให้เป็น โมฆะกรรมหรือโมฆียกรรม การบังคับให้ชาระหนี้


6. สภาพบังคับกฎหมายในอาญาและทางแพ่ง มีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
              ตอบ มีความแตกต่าง กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญาจึงเป็นโทษอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง ใช้ลงโทษกับผู้กระทำผิดทางอาญา  ส่วนกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง สำหรับลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่กระทำตามที่กฎหมายบัญญัติไว้  แต่สำหรับสภาพบังคับทั้งทางอาญาและทางแพ่งควบคู่กันไปก็ได้ เช่น กฎหมายที่ดินพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้บริโภค และพระราชบัญญัติการล้มละลาย อีกทั้งยังมีสภาพบังคับทางปกครองอีก ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.. 2539

7. ระบบกฎหมายเป็นอย่างไร จงอธิบาย                                                

         ตอบ 1. ระบบซีวิลลอร์ (Civil Law System) หรือระบบลายลักษณ์อักษรเป็นกฎหมายลายลักษณ์อักษรที่มีความสำคัญกว่าอย่างอื่น คาพิพากษาของศาลไม่ใช่ที่มาของกฎหมาย แต่เป็นบรรทัดฐานแบบอย่างของการตีความกฎหมายเท่านั้น เริ่มต้นจากตัวบทกฎหมายเป็นสำคัญ จะถือเอาคาพิพากษาศาลหรือความคิดเห็นของ นักกฎหมายเป็นหลักไม่ได้ ยังถือว่า กฎหมายเอกชนและกฎหมายมหาชนเป็นคนละส่วนกัน                                                                                                                                                                 2. ระบบคอมมอนลอว์ เป็นการพัฒนามาจากกฎหมายที่ไม่เป็นลายลักษณ์อักษร นาเอาจารีตประเพณีและคาพิพากษา ซึ่งเป็นบรรทัดฐานของศาลสมัยเก่ามาใช้ จนกระทั่งเป็นระบบกฎหมายที่มีความสม            


  8.ประเภทของกฎหมายมีหลักการแบ่งอย่างไรบ้าง มีกี่ประเภท แต่ละประเภทประกอบด้วยอะไรบ้าง ยกตัวอย่างอธิบาย                                                                                                             

   ตอบ       2 ประเภท
                การแบ่งประเภทกฎหมายที่ใช้ในประเทศไทย ขึ้นอยู่ใช้หลักใดจะขอกล่าวโดยทั่ว ๆไปดังนี้. กฎหมายภายใน มีดังนี้
      1. กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษรและไม่เป็นลายลักษณ์อักษร
             1.1 กฎหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร                1.2 กฎหมายที่เป็นไม่เป็นลายลักษณ์อักษร     

  2. กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา และกฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่ง
            2.1 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางอาญา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา  18 วรรคแรก บัญญัติโทษทางอาญา เช่น การประหารชีวิต จำคุก  กักขัง ปรับ หรือริบทรัพย์สิน                                                                

           2.2 กฎหมายที่มีสภาพบังคับทางแพ่งได้บัญญัติถึงสภาพบังคับลักษณะต่างๆกันไว้สำหรับลงโทษผู้ที่ฝ่าฝืนหรือไม่กระทาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ เช่นการกำหนดให้เป็นโมฆะกรรมหรือโมฆียกรรม                        

3. กฎหมายสารบัญญัติ และกฎหมายวิธีบัญญัติ                                  

        3.1 กฎหมายสารบัญญัติ แบ่งโดยคำนึงถึงบทบาทของกฎหมายเป็นหลัก กล่าวถึงการกระทาที่กฎหมายกำหนดเป็นองค์ประกอบแห่งความผิด                                                                                                          

         3.2 กฎหมายวิธีบัญญัติ กล่าวถึง วิธีการและขั้นตอนในการใช้กฎหมายบังคับ เช่นประมวลกฎหมายวิธี

พิจารณาความอาญา                                                                                                                                     4. กฎหมายมหาชน และกฎหมายเอกชน                                                  

          4.1 กฎหมายมหาชน เป็นกฎหมายที่กำหนดความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชน รัฐเป็นผู้มีอำนาจบังคับให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎหมาย  เพื่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยแก่สังคม เป็นเครื่องมือในการควบคุม                                                                                            

       ขกฎหมายภายนอก มีดังนี้                                                                         

    1. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีเมือง เป็นกฎหมายที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างรัฐต่อรัฐในการที่จะต้องปฏิบัติต่อกันและกัน ในฐานะที่รัฐเป็นนิติบุคคลในกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งมีเกณฑ์กาหน                                                                                                               

    2. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีบุคคล เป็นข้อบังคับที่ว่าด้วยความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในรัฐต่างรัฐ เช่น พระราชบัญญัติว่าด้วยการขัดแย้งแห่งกฎหมาย เป็นการบังคับความสัมพันธ์ของบุคคลที่อยู่ในประเทศไทยกับบุคค]ที่อยู่ในรัฐอื่น                                                                                                   3. กฎหมายระหว่างประเทศแผนกคดีอาญา เป็นข้อบังคับที่ประเmศหนึ่งหรือรัฐหนึ่งตกลงยอมรับให้ศาลส่วนอาญาของอีกรัฐหนึ่งมีอำนาจในการพิจาณาลงโทษอาญาแก่บุคคลที่ได้กระทาผิดนอกประเทศนั้นได้ เช่น สนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน 


9. ท่านเข้าใจถึงคาว่าศักดิ์ของกฎหมายคืออะไร มีการแบ่งอย่างไร
                ตอบ การจัดลำดับแห่งค่าบังคับของกฎหมายหรืออาจกล่าวได้ว่าอาศัยอำนาจขององค์กรที่ใช้อำจากองค์กรที่แตกต่างกันจากประเด็นดังกล่าวพอที่จะกล่าวต่อไปได้อีกว่า ในการจัดลาดับมีการจัดอย่างไร ซึ่งจะต้องอาศัยหลักว่า กฎหมายหรือบทบัญญัติใดของกฎหมายที่อยู่ในลาดับที่ต่ำกว่า จะขัดหรือแย้งกับกฎหมายในลาดับที่สูงกว่าไม่ได้และเราจะพิจารณาอย่างไร โดยพิจารณาจากองค์กรที่มีอำนาจในการออกกฎหมาย โดยใช้เหตุผล               

 1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

2. พระราชบัญญัติและประมวลกฎหมาย

3. พระราชกำหนด

4. ประกาศพระบรมราชโองการให้ใช้บังคับดังเช่นพระราชบัญญัติ

5. พระราชกฤษฎีกา

6. กฎกระทรวง

7. ข้อบัญญัติจังหวัด

8. เทศบัญญัติ 

9. ข้อบังคับองค์การบริหารส่วนตำบล

 10. เหตุการณ์ เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน 2555 มีเหตุการณ์ชุมนุมของประชาชน ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า และประชาชนได้ประกาศว่าจะมีการประชุมอย่างสงบ แต่ปรากฏว่า รัฐบาลประกาศเป็นเขตพื้นที่ห้ามชุมนุม และขัดขว้างไม่ให้ประชาชนชุมนุมอย่างสงบ ลงมือทำร้ายร่างกายประชาชน ในฐานะท่านเรียนวิชานี้ท่านจะอธิบายบอกเหตุผลว่า รัฐบาลกระทำผิดหรือถูก                                                 

     ตอบ กระทำผิด เพราะการชุมนุมอย่างสงบของผู้ชุมนมไม่ได้ทำร้าย เราควรให้ความเคารพในสิทธิของเข้า รัฐบาลไม่ควรลงมือทำร้ายประชาชนที่ชุมนมอย่างสงบ เพราะเข้ามาด้วยใจบริสุทธิ์ไม่ได้มาทำร้ายใคร ควรหาแนวทางแก้ไขไม่ใช่ทำร้ายประชาชน 

11. ท่านมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ คำว่า กฎหมายการศึกษาอย่างไร จงอธิบาย
         ตอบ  บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้องกับกฎหรือคาสั่งหรือข้อบังคับของรัฐทีเกี่ยวข้องกับการศึกษาที่สถาบันหน่วยงานผู้มีอำนาจ ได้ตราขึ้นและมีผลบังคับใช้ กฎหมายการศึกษาเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาคน ซึ่งครูและบุคลากรทางการศึกษา เสมือนวิศวกรในการสร้างคนให้เป็นไปตามความต้องการของคนในประเทศ และนาไปปฏิบัติให้เกิดประโยชน์สุขต่อเยาวชนและประเทศชาติ
  

12. ในฐานะที่นักศึกษาจะต้องเรียนวิชานี้ ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษาท่านคิดว่า เมื่อท่านไปประกอบอาชีพครู จะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไรบ้างประกอบอาชีพครู จะมีผลกระทบต่อท่านอย่างไรบ้าง
       ตอบ ถ้าเราไม่ศึกษากฎหมายการศึกษาท่านคิดว่า เราจะไม่กฎระเบียบในการศึกษาเราจะไม่ได้ศึกษาตามข้อบัญญัติ ทำให้เด็กไม่ได้รับการศึกษาตามข้อบังคับ ทำให้เด็กไม่มีความรู้ในการประกอบอาชีพในอนาคตทำให้เด็กขาดโอกาสการเรียนรู้ เมื่อเราไปประกอบอาชีพครูจะมีผลกระทบในเรื่องของการใช้ พ.ร.บ. ในการศึกษาไม่มีระบบในการเรียนการสอนว่าจะใช้หลักสูตรใดในการสอน ทำให้นักเรียนไม่ได้รับความรู้อย่างเต็มที่หากไม่มีกฎหมายการศึกษา

                                                                                          

วันจันทร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

แนะนำตัวเอง

                                                     ประวัติส่วนตัวค่ะ

ชื่อ นางสาวณัฐติพร
นามสกุล  รักกิจ
ชื่อเล่น ออย

รหัสนักศึกษา  5311101115
อายุ 21 ปี
เกิดวันที่  28   กุมภาพันธ์  2535

การศึกษา
จบการศึกษาระดับมัธยมตอนต้น  โรงเรียนรัษฎา
จบการศึกษาระดับมัธยมตอนปลาย  โรงเรียนพณิชการทุ่งสง
ปัจจุบันกำลังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช
คณะครุศาสตร์  เอกการศึกษาปฐมวัย ห้อง 03

ครอบครัว
บิดาชื่อ  นายสุชาติ     รักกิจ
มารดาชื่อ นางเรวดี     รักกิจ
มีพี่น้อง 2 คน เป็นลูกคนที่ 2

คติประจำใจ  ไม่มีคำว่าสายถ้าคิดจะเริ่มต้นกับสิ่งดีๆ
สัตว์เลี้ยงที่ชอบ สุนัข